บก.ป.นำกำลังจับกุม "อำพล ตั้งนพกุล" เฒ่าเสื้อแดง อายุ 60 ปี ชาวสมุทรปราการ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ มีโทษจำคุก 3-5 ปี เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 3 ส.ค.พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศรัตรู ผบช.ก.พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาการ ผบก.ป.พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รอง ผกก.1 บก.ป.และ พ.ต.ท.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน สว.กก.1 บก.ป.นำกำลังจับกุม นายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 หมู่ที่ 1 ต.คลองสวน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญารัชดา ที่ 1659 /2553 ลงวันที่ 29 ก.ค.53 ข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตาม ป.อาญา มาตรา 112 มีโทษจำคุก 3-5 ปี โดยจับกุมได้ที่ห้องเช่าไม่มีเลขที่ ตั้งอยู่ระหว่างซอยวัดด่านสำโรง 17/1 และซอยวัดด่านสำโรง 19 หมู่ที่ 4 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมของกลางโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโมโตโรล่า 2 เครื่อง และยี่ห้อเทเลวิช อีก 1 เครื่อง ซุกซ่อนอยู่ในตู้เสื้อผ้า พล.ต.ท.ไถง กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ได้รับแจ้งว่ามีบุคคลลึกลับส่งข้อความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับสถาบันไปยังบุคคลสำคัญระดับประเทศหลายคน จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปอท.ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร หรือ ไอซีที ร่วมกันสืบสวนหาตัวคนร้าย จากการตรวจสอบบริษัทที่ให้บริการโทรศัพท์มือถือหลายบริษัทพบว่ามีการใช้ซิมการ์ดแบบเติมเงิน เมื่อส่งข้อความเสร็จแล้วก็จะหักซิมการ์ดทิ้ง จึงติดตามข้อมูลการใช้โทรศัพท์จนทราบว่า นายอำพล เป้นผู้ส่งข้อความดังกล่าวจึงเข้าจับกุมมาสอบสวน ซึ่งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ส่งข้อความตามที่ถูกกล่าวหา แต่ยอมรับว่าโทรศัพท์ทั้งหมดเป็นของตนจริง แต่ได้เลิกใช้ไปนานแล้ว พล.ต.ท.ไถง กล่าวต่อว่า ผู้ต้องหาไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง จึงไม่เชื่อว่าจะทราบเบอร์โทรศัพท์มือถือของบุคคลสำคัญของประเทศและส่งข้อความที่ไม่เหมาะสมได้ จึงเชื่อว่าจะมีผู้สนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้จากการตรวจสอบพบว่า นายอำพล เป็นฮาร์ดคอร์กลุ่มคนเสื้อแดง จ.สมุทรปราการ ที่ กอ.รมน. ขึ้นบัญชีดำไว้ด้วย “ผมขอยืนยันว่าจะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคง เป็นศูนย์รวมจิตใจและความรักสามัคคีของคนในชาติ และจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือความขัดแย้งทุกรูปแบบ พร้อมทั้งจะดำเนินการตามกฏหมายกับบุคคลที่ล่วงละเมิดสถาบันอย่างจริงจังเพื่อป้องกันมิให้มีการล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพได้ อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนที่ได้รับข้อความไม่เหมาะสมหรือมีเบาะแสกลุ่มล้มสถาบันให้แจ้งมาที่กองปราบปราม ได้ตลอดเวลา ” ผบช.ก.กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจหาหลักฐานภายในบ้านพักผู้ต้องหาอยู่นั้น มีกลุ่มชาวบ้านซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นคนเสื้อแดงกว่า 20 ราย พยายามเข้าปิดล้อมกดดันชุดจับกุม แต่เมื่อชุดจับกุมบอกว่าคดีนี้เป็นคดีดูหมิ่นสถาบันทั้งหมดจึงถอยร่นออกมาดูเชิงบริเวณหน้าปากซอย ชุดจับกุมเห็นท่าไม่ดีจึงรีบนำผู้ต้องหามาสอบปากคำต่อที่กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นายอำพล ผู้ต้องหาได้ส่งข้อความดูหมิ่นสถาบันไปให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นากยกรัฐมนตรี ถึง 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ ตั้งแต่วันที่ 9 -12 พ.ค.ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีหลายคนได้รับข้อความดังกล่าวรวมทั้ง นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสีอีกด้วย ศาลอุทธรณ์ไม่ให้ประกันผู้ต้องหาส่ง SMS หมิ่นฯ วัย 61 ปี เกรงหลบหนี 1 เม.ย.54 นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความของนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ จากกรณีส่ง sms ที่มีข้อความเข้าข่ายดังกล่าวไปยังมือถือของเลขานุการ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้อง ไม่ปล่อยชั่วคราวนายอำพล และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ให้ยกคำร้องอีกครั้ง โดยให้เหตุผลว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง และคดียังอยู่ในระหว่างนัดสืบพยานโจทก์ หากข้อเท็จจริงจากการสืบพยานหลักฐานของโจทก์มีหลักฐานมั่นคง จำเลยอาจหลบหนี เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินคดีในศาล ประกอบกับศาลอุทธรณ์เคยไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวมาแล้ว ทั้งไม่ปรากฏเหตุใหม่ที่จะให้ปล่อยชั่วคราว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณา คำสั่งศาลชั้นต้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง แจ้งเหตุผลการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวให้จำเลยและผู้ร้องขอประกันทราบเป็น หนังสือโดยเร็ว ทั้งนี้ คดีนี้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ฝ่ายคดีอาญาพิเศษ 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอำพล วัย 61 ปี เป็นจำเลยในฐานความผิดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท (มาตรา 112 ประมวลกฏหมายอาญา) และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความั่นคงแห่งราชอาณาจักร (มาตรา 14 (2),(3) พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550) โดยศาลนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 23 ,27 - 28 กันยายน 2554 และนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 29-30 กันยายน 2554 นายอำพล ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 3 ส.ค.53 และคุมขังที่เรือนจำจนได้ประกันตัวเมื่อวันที่ 4 ต.ค.53 กระทั่งเมื่ออัยการส่งฟ้อง จึงถูกคุมตัวยังเรือนจำอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 ม.ค.54 จนกระทั่งปัจจุบันก็ยังถูกขังอยู่ระหว่างการรอพิจารณาโดยมีอาการป่วยเป็นโรค มะเร็งช่องปาก อำพล (ขอสงวนนามสกุล) ชายวัย 61 ปี หรือที่คนในครอบครัวและคนอื่นๆ เรียกว่า “อากง” เดินทางมาศาลพร้อม ‘ป้าอุ๊’ ภรรยาและ ‘ปุ้ย’ ลูกสาวคนท้ายๆ ในบรรดาลูก 7 คน รวมถึงทนายความอาสาที่เข้ามาช่วยคดีนี้ เพราะวันนี้เป็นวันที่อัยการส่งคดีฟ้องต่อศาล กรณีที่ลุงอำพลตกเป็นผู้ต้องหาหมิ่นสถาบันด้วยการส่ง SMS ที่มีข้อความดังกล่าวไปยังเลขานุการส่วนตัวนายกรัฐมนตรี อำพล และภรรยา อาศัยอยู่ย่านสำโรงในห้องเช่าราคาเดือนละ 1,200 บาท โดยอาศัยเงินจากลูกๆ ที่ส่งให้คนละเล็กคนละน้อย เพราะสองลุงป้าไม่ต้องการเป็นภาระกับลูกซึ่งแยกย้ายกันไปมีครอบครัวแล้ว และที่สำคัญ ล้วนแต่หาเช้ากินค่ำกันทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม เขาทั้งคู่ยังมีภาระต้องเลี้ยงดูหลาน 3-4 คน ซึ่งเป็นผลิตผลที่ลูกบางคนทอดทิ้งไว้อีกด้วย ส่วน ‘ปุ้ย’ เป็นซิงเกิลมัม แต่สามียังช่วยส่งเสียลูก 2 คน ปัจจุบันปุ้ยกลายเป็นหัวเรือหลักในการดูแลแม่และดำเนินการเรื่องคดีพ่อ เธอมีอาชีพเป็นคนงานในโรงงานผลิตโฟมแถวบ้าน ได้ค่าจ้างตามค่าแรงขั้นต่ำ ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง วันนี้เธอสลับกะกับเพื่อนเพื่อส่งพ่อสูงวัยมารายงานตัวที่ศาลตั้งแต่เช้า และรอจนฟ้าเกือบมืดเพื่อฟังคำสั่งศาลซึ่งไม่ให้ประกันตัวพ่อของเธอ อากงถูกตำรวจบุกจับกุมเมื่อวันที่ 4 ส.ค.53 และถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อยู่ราว 2 เดือน จนได้รับอนุญาตให้ประกันตัวได้ในที่สุด สำหรับชาวบ้านธรรมดาหาเช้ากินค่ำ เรื่องราวของการที่ตำรวจเกือบ 20 นายพร้อมกองทัพนักข่าวบุกเข้าบุกค้นบ้านพักและทำการจับกุมในวันนั้นถือเป็น สิ่งที่กระทบกระเทือนความรู้สึกของภรรยาและหลานๆ อย่างไม่รู้ลืม “มัน เหมือนเราเป็นอาชญกรร้ายแรง เหมือนเราแปลกแยกกับคนอื่น เขาเข้ามาค้นทุกอย่าง ถ่ายรูปทุกอย่าง แม้แต่รูปหลานๆ ตัวเล็กๆ ที่ร้องกันกระจองงอแง มันน่ากลัว อย่าให้เกิดอีกเลย มันจะไม่มีแบบนั้นแล้วใช่มั้ย” ป้าอุ๊เล่าเรื่องไป ถามหาคำตอบไป พาด หัวข่าววันต่อมาปรากฏข่าวจับกุมลุงอำพล พร้อมระบุว่าเป็นฮาร์ดคอร์เสื้อแดง มันทำให้ครอบครัวตั้งนพกุลหวาดระแวงกับนักข่าวตั้งแต่นั้น เพราะพวกเขายืนยันว่าอากงเป็นเพียงคนแก่ๆ ที่มีอาชีพหลักคือ อยู่บ้านเลี้ยงหลาน และด้วยความที่มีเวลาว่างมากในช่วงกลางวัน แกจึงมักจะเดินทางไปสังเกตการณ์กิจกรรมทางการเมืองหรืองานต่างๆ ที่จัดขึ้นเสมอ “สมัย เสื้อเหลืองแกก็ไป ตอนในหลวงท่านป่วยช่วงแรกๆ แกก็ไปถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช พอมาสมัยเสื้อแดงแกก็ไปดูอีก แต่ยังไงๆ แกก็ต้องกลับมาให้ทันรับหลานกลับจากโรงเรียน” ภรรยาอากงเล่า อำพลให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่ผู้กระทำการ เพราะเพียงจะส่ง sms ยังส่งไม่เป็น เขาเคยกล่าวกับภรรยาว่าอย่างไรก็จะยืนยันเช่นนี้ จะฆ่าจะแกงแกก็ยอม ป้า อุ๊ยังเล่าถึงความยากลำบากภายหลังอากงถูกจับว่า ทั้งครอบครัวระส่ำระสาย เพราะไม่มีเงินว่าจ้างทนายความ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป และเป็นห่วงอากงมาก กระทั่งได้เจอกลุ่มทนายอาสาที่เข้าให้ความช่วยเหลือ แม้ คดีความเพิ่งถึงชั้นศาล และยังศาลยังไม่ได้พิพากษา แต่สำหรับคดีเช่นนี้ สังคมไทยพิพากษาแล้วแต่แรก มันทำให้ป๊าอุ๊และหลานๆ ไม่สามารถอาศัยอยู่ห้องเช่าเดิมได้ ต้องหอบข้าวหอบของมานอนแออัดอยู่ที่ห้องเช่าของปุ้ย เพราะแม้แต่หลานตัวเล็กๆ ยังถูกกระแนะกระแหน ด่าว่า จากคนรอบข้าง ลูกชายคนเล็กต้องลาออกจากโรงงานเพราะถูกกดดันจากเรื่องคดีของพ่อ และลูกสาวถูกล้อเลียนในโรงงานว่าเป็นลูกฮาร์ดคอร์ “คน ที่เข้าใจก็มี แต่กับคนที่ไม่เข้าใจเขาก็มาทำให้เราเจ็บปวดอยู่เสมอ คดีนี้ถึงที่สุดแล้วต่อให้ไม่ผิด ไม่ติดคุก สังคมก็ตัดสินเราไปแล้ว” ป๊าอุ๊ว่า เธอกล่าวว่า เธอเชื่อว่าสามีของเธอไม่ได้กระทำการอย่างที่ยืนยัน แต่แม้ถ้าสามีกระทำการอย่างนั้นก็ไม่ควรลงทัณฑ์เลยมาถึงครอบครัว “เป็น ห่วงหลานๆ มากที่สุด ไม่อยากให้พวกเขาต้องลำบาก แค่ลำพังแค่พวกเราคนแก่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราก็ตายกันแล้ว ป้าอยากให้หลานๆ เปลี่ยนนามสกุลใหม่ เขาจะได้ไม่ต้องมีปัญหากับเรื่องแบบนี้ มีชีวิตใหม่” ป้าอุ๊น้ำตาเอ่อ ในชั้นสอบสวนของตำรวจ หลังอากงติดคุกอยู่ราว 2 เดือน ในที่สุดศาลอุทธรณ์ก็อนุญาตให้ประกันตัวในวันที่ 4 ต.ค.53 โดยให้เหตุผลว่าหลักประกันน่าเชื่อถือ หลังจากก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นให้เหตุผลที่ไม่อนุญาตให้ประกันว่าเป็นคดีร้าย แรงกระทบกระเทือนจิตใจคนไทย เกรงจะหลบหนี อย่างไรก็ตาม การปล่อยก็ทำให้ลุงอำพลได้ออกมารักษาแผลผ่าตัดมะเร็งใต้โคนลิ้นที่กำเริบจน ลิ้นบวมคับปากได้ทันการณ์ จากนั้นวันที่ 18 ม.ค. อัยการจึงมีคำสั่งฟ้องและต้องประกันตัวอีกครั้งในชั้นพิจารณาคดี ทนายความยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ใช้โฉนดที่ดินเป็นหลักประกัน ระหว่างรอคำสั่ง ลุงอำพลถูกคุมตัวไว้ในคุกใต้ถุนศาลไม่ยอมกินข้าวกินปลา เช่นเดียวกับป้าอุ๊ที่แม้อยู่นอกกรงขังก็ไม่ยอมกินข้าวเช่นเดียวกัน รอกว่า 8 ชั่วโมง จึงได้รับทราบคำสั่ง ก่อนที่ลุงอำพลจะถูกนำตัวไปไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่เพิ่งจากมาอีกครั้ง เย็น ย่ำ แม่ลูกกระเตงกันขึ้นรถเมล์ไปซื้อของใช้จำเป็นรีบมาฝากให้อากง เสียงป้าอุ๊ที่ปลายสายสั่นเครือ ขณะที่เสียงปุ้ยก็อ่อนแรง แต่เธอต้องรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อไปเข้ากะทำงานตอนหนึ่งทุ่ม วันนี้ ออกกะเจ็ดโมงเช้าในวันพรุ่งนี้แล้วรีบพาแม่มายื่นอุทธรณ์ขอประกันตัวอีก ครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น